เพื่อเป็นการเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำ การได้รับชมภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศทั้ง 2 เรื่องที่เราหยิบยกมากล่าวถึงในบทความนี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในแสงสปอตไลต์เหมือนภาพยนตร์ฮอลลีวูด หลายคนอาจจะไม่เคยรู้จักภาพยนตร์เหล่านี้ด้วยซ้ำ แต่รับประกันได้ว่าทุกเรื่องคือยารักษาบาดแผลในใจชั้นดีที่ควรค่าแก่การรับชมสักครั้ง
Drive My Car (Japan)
การนำหนังสือของ Haruki Murakami มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย เรื่องราวจากปลายปากกาของ Murakami มีความพิเศษเฉพาะตัว เน้นไปที่การสำรวจลึกลงในจิตวิญญาณของปัจเจกชน ร่ายห้วงแห่งอารมณ์ออกมาผ่านตัวหนังสือแต่ละบรรทัด ยากที่รูปแบบของภาพยนตร์จะนำเสนอออกมาได้อย่างครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม Ryûsuke Hamaguchi กลับทำได้อย่างยอดเยี่ยม หรือหากจะบอกว่า ‘มหัศจรรย์’ ก็คงไม่เกินไปนัก เขาหยิบเรื่องสั้น Drive My Car จากหนังสือรวมเรื่องสั้น Men Without Women ที่มีความยาวเพียงไม่กี่สิบหน้ากระดาษ สร้างสรรค์ให้กลายเป็นภาพยนตร์ความยาว 3 ชั่วโมง ที่ถึงแม้จะมีความเนิบช้า แต่ก็ไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย ราวกับเป็นการรับประทานโอมากาเสะชั้นดีที่เชฟบรรจงเสิร์ฟให้ทีละคำ
Drive My Car ว่าด้วยเรื่องราวของผู้กำกับละครเวทีวัยกลางคน ที่ต้องพบกับความเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าภรรยาที่รักนอกใจ ทว่าก่อนที่จะได้เอ่ยถามอะไร หล่อนก็ด่วนตายจากไปอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นโชคชะตาของชีวิตก็พัดพาให้เขามาพบกับคนขับรถสาวที่อายุน้อยกว่าเขาครึ่งหนึ่ง
เป็นพล็อตที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ก่อนที่เรื่องราวจะจบลงพร้อมบทเรียนที่สอนให้โอบรับความเจ็บปวดเอาไว้ เพื่อที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
The Worst Person in the World (Norway)
สำหรับหัวใจที่บอบช้ำ และชีวิตที่กำลังหลงทาง ไม่รู้จะก้าวไปทางไหน The Worst Person in the World ภาพยนตร์สัญชาตินอร์เวย์ ผลงานการกำกับของ Joachim Trier เรื่องนี้คือเพื่อนที่จะปลอบประโลมสิ่งเหล่านั้น เพราะมันว่าด้วยเรื่องราวของการตามหาตัวตนที่หล่นหายของ Julie หญิงสาวที่กำลังจะก้าวย่างเข้าสู่หลักไมล์เลข 3 ของชีวิต
การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในยุคนี้ที่มีกฎเกณฑ์ของสังคมคอยออกคำสั่งและเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดว่าจะต้องประสบความสำเร็จนั้นยิ่งยากขึ้นไปอีก กลายเป็นว่ารู้ตัวอีกทีเราทุกคนก็วิ่งอยู่บนสายพานแห่งความคาดหวังจนหลงลืมไปแล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของเราคือใคร และมีความฝันอย่างไร
The Worst Person in the World หยิบยกประเด็นนี้มาบอกเล่าได้อย่างชาญฉลาด เป็นเรื่องราวสะท้อนชีวิตที่รับชมแล้วรู้สึกมีกำลังใจ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่เราคนเดียวที่กำลังหลงทาง